เตรียมรับมือเชื้อไวรัส
และสู้กลับได้ทันที!

Know
เราต้องรู้เท่าทันและเข้าใจสุขภาพตนเอง
เพราะปัจจัยเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงจากโควิด-19
ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
Plan
โควิด-19 ยังคงอยู่คู่กับเรา การเตรียมตัว
รับมือจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากตรวจพบ
เชื้อไวรัสเป็นผลบวก
Go
หากคุณตรวจพบเชื้อ และมีปัจจัยเสี่ยง
ต่อการป่วยรุนแรงจากโควิด-19
ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาทันที

รู้ไหมใครเสี่ยง?

รู้ไหมใครเสี่ยง?arrowarrow-mb

คุณมีปัจจัยเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงจากโควิด-19 หรือไม่?

เพราะปัจจัยเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรงจากโควิด-19 แต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องรู้เท่าทันและเข้าใจสุขภาพตนเอง เพื่อเตรียมตัวรับมือ สู้เชื้อไวรัสทันที!

ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง

เมื่อติดเชื้อไวรัส อาจมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่แสดงอาการ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่มีอาการรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ และอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงเกี่ยวข้องกับอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัวดังต่อไปนี้1

1. อายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป

1. อายุมากกว่า 60 ปี ขึ้นไป

ผู้ป่วยสูงอายุมีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสได้ง่ายและอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ยิ่งผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ยิ่งมีความเสี่ยงเสียชีวิตจากโควิด-19 สูงมากขึ้น2

2. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

2. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)

ผู้ป่วยโรค COPD และโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ มีความเสี่ยงเนื่องจากคนไข้จะมีเซลล์บริเวณทางเดินหายใจที่อ่อนแอต่อการติดเชื้อไวรัส และเชื้อไวรัสยังสามารถกระตุ้นอาการของโรคให้กำเริบได้ ทำให้ ผู้ป่วยมีความเสี่ยงมากขึ้นในการเกิดอาการแทรกซ้อนและทำให้มีอาการที่รุนแรงเพิ่มขึ้นได้3

3. โรคไตเรื้อรัง (CKD) ระยะที่ 3 ขึ้นไป

3. โรคไตเรื้อรัง (CKD) (ขั้นที่ 3 ขึ้นไป)

ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 เป็นต้นไป เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการจากโควิด-19 ที่รุนแรง1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ได้รับการฟอกไตเนื่องจากจะมีภูมิคุ้นกันที่ลดลง และหากเป็น ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายไตที่ต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ยิ่งทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น4

4. โรคหัวใจและหลอดเลือด

4. โรคหัวใจและหลอดเลือด

การติดเชื้อไวรัสจะส่งผลต่อเส้นเลือดที่หัวใจโดยจะไปทำให้เกิดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือด อีกทั้งยังมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดลิ่มเลือด ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ทำให้เกิดโรคที่รุนแรงขึ้นได้5 นอกจากนี้ยังสามารถพบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) ในกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 ได้อีกด้วย6

5. โรคหลอดเลือดสมอง

5. โรคหลอดเลือดสมอง

ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง มีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้นหากติดเชื้อไวรัส7 โดยไวรัสโคโรนา-2019 จะทำให้เกิดการอักเสบภายในหลอดเลือดและส่งผลให้เซลล์เกิดความเสียหาย ทำให้เกิดการสร้างลิ่มเลือดไปอุดตันที่สมองได้8

6. โรคมะเร็ง (ไม่รวมมะเร็งที่รักษาหายแล้ว)

6. โรคมะเร็ง (ไม่รวมมะเร็งที่รักษาหายแล้ว)

ผู้ป่วยมะเร็งมีโอกาสที่จะป่วยรุนแรงหากติดเชื้อไวรัส เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่อ่อนแอลง อาจเนื่องมาจากตัวโรคเองหรือจากยาที่ใช้รักษา อีกทั้งผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการป่วยรุนแรงได้ เช่น อายุ การเปลี่ยนถ่ายไขกระดูก ภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้9

7. เบาหวาน

7. เบาหวาน

ผู้ป่วยเบาหวาน เมื่อติดเชื้อแล้วจะทำให้เกิดภาวะการอักเสบภายในร่างกายซึ่งส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวนและควบคุมได้ยาก ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสที่จะเกิดอาการของโรคและภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้นได้10

8. ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก.) หรือ BMI ≥ 30 กก./ตร.ม.1

8. ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก.) หรือ BMI ≥ 30 กก./ตร.ม.

ผู้ป่วยที่มีภาวะอ้วน คือผู้ป่วยที่มีน้ำหนักมากกว่า 90 กก. หรือมีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 กก./ตร.ม. ขึ้นไป ซึ่งส่งผลให้ไขมันบริเวณหน้าท้องดันขึ้นไปเบียดบริเวณกะบังลมและลดการไหลเวียนอากาศเข้าไปสู่ปอด ทำให้เกิดอาการหายใจเหนื่อย และหายใจลำบากได้ ทำให้อาการของโควิด-19 แย่ลง อีกทั้งโดยปกติแล้ว ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีโรคประจำตัวอื่น ๆ ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่แข็งแรง เป็นเหตุผลที่เมื่อติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีโอกาสพัฒนาไปเป็นโรคที่รุนแรงได้11

9. ตับแข็ง (Child-Pugh class B ขึ้นไป)

9. ตับแข็ง (Child-Pugh class B ขึ้นไป)

ผู้ป่วยโรคตับแข็งที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 จะมีความเสี่ยงในการที่จะเกิดโรคที่รุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 2.44 เท่า12 อีกทั้งยังมีอัตราการนอนโรงพยาบาลและเสียชีวิตที่สูงกว่าคนที่ไม่ได้มีภาวะโรคนี้13 ดังนั้นโรคตับแข็งจึงเป็นอีกหนึ่งโรคเรื้อรังที่ควรระวัง เมื่อมีผลตรวจเป็นบวกจากไวรัสโคโรนา-2019

10. ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

10. ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

คนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ คือกลุ่มคนที่อยู่ในระหว่างการได้รับยาเคมีบำบัดหรือยากดภูมิ หรือ corticosteroid ที่มีปริมาณเทียบเท่ากับ prednisolone 15 มก./วัน นาน 15 วันขึ้นไป1 โดยคนกลุ่มนี้จะมีโอกาสป่วยจากโควิด-19 ที่รุนแรงและนานกว่าคนปกติทั่วไป อีกทั้งคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำยังมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 อยู่ ถึงแม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนตามปกติ15

11. ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มี CD4 cell count น้อยกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.

ผู้ป่วยเอชไอวี เป็นผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงหลังจากติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มคนที่เป็นโรคเอดส์ชนิด advance (รวมถึงผู้ที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคเอดส์) หรือผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีแต่ไม่ได้รับการรักษา14

ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง

References:

  1. แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 27 วันที่ 18 เมษายน 2566. Available at: https://covid19.dms.go.th/backend///Content//Content_File/Covid_Health/Attach/25660418150721PM_CPG_COVID-19_v.27_n_18042023.pdf Last Accessed: 17 Aug 2023
  2. Factor That Affect Your Risk of Getting Very Sick from COVID-19 Available at: https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/your-health/risks-getting-very-sick.html Last Accessed: 21 November 2023
  3. Awatade, N.T., B. Wark, P.A., Chan, A.S., Mamun, SM. A., Esa, N.Y., . . . Sohal, S.S. (2023) The Complex Association between COPD and COVID-19. Journal of Clinical Medicine, 12(11): 3791.
  4. Kidney disease & COVID-19. (n.d.). National Kidney Foundation. Available at: https://www.kidney.org/coronavirus/kidney-disease-covid-19. Last Accessed: 27 November 2023
  5. SARS-CoV-2 infects coronary arteries, increase plaque inflammation. (2023, September 28). National Heart, Lung, and Blood Institute. Available at: https://www.nhlbi.nih.gov/news/2023/sars-cov-2-infects-coronary-arteries-increases-plaque-inflammation. Last Accessed: 27 November 2023
  6. Fairweather, D., Beetler, D. J., Di Florio, D. N., Musigk, N., Heidecker, B., & Cooper Kr, L. T. (2023) COVID-19, Myocarditis and Pericarditis. Circulation Research, 1302 – 1319.
  7. Information on coronavirus for stroke survivors. (2023, October). Stroke Association. Available at: https://www.stroke.org.uk/finding-support/information-coronavirus-stroke-survivors. Last Accessed: 27 November 2023
  8. Can COVID-19 Increase Your Risk of a Stroke? (2023, May 19). Healthline. Available at: https://www.healthline.com/health/stroke/covid-and-stroke. Last Accessed: 27 November 2023
  9. Question About COVID-19 and Cancer (2023, April 6). American Cancer Society. Available at: https://www.cancer.org/cancer/managing-cancer/coronavirus-covid-19-and-cancer/questions-about-covid-19-and-cancer.html#:~:text=Some%20people%20with%20cancer%20are,to%20have%20normal%20immune%20function. Last Accessed: 27 November 2023
  10. Frequently Asked Questions: COVID-19 and Diabetes (n.d.). American Diabetes Association. Available at: https://diabetes.org/getting-sick-with-diabetes/coronavirus-covid-19/how-coronavirus-impacts-people-with-diabetes. Last Accessed: 27 November 2023
  11. COVID-19 and Obesity: What Does it Mean For You? (2021). Obesity Action Coalition. Available at: https://www.obesityaction.org/resources/covid-19-and-obesity-what-does-it-mean-for-you. Last Accessed: 27 November 2023
  12. Nagarajan R, et al. Prev Chronic Dis 2022;19:210228.
  13. Vujcic, I., (2023) Outcomes of COVID-19 among patients with liver disease. World Journal of Gastroenterology. 7; 29(5): 815-824.
  14. HIV and COVID-19 Basics. (2023, September 12). Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Available at: https://www.cdc.gov/hiv/basics/covid-19.html#:~:text=People%20with%20HIV%20may%20have%20higher%20rates%20of%20certain%20underlying,are%20not%20on%20HIV%20treatment. Last Accessed: 27 November 2023
  15. People with Certain Medical Conditions. (2023, May 11). Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Available at: https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/need-extra-precautions/people-with-medical-conditions.html. Last Accessed: 7 December 2023

เสี่ยงแล้วไง?

Pfizer-Covid-Vaccine-Video-Cover-01_Paxlovid70s
Pfizer-Covid-Vaccine-Video-Cover-03_KnowPlanGo
Pfizer-Covid-Vaccine-Video-Cover-02_Paxlovid15s

โควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เราจึงต้องรู้เท่าทันโรคอยู่เสมอ
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรง

โควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง เราจึงต้องรู้เท่าทันโรคอยู่เสมอ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการป่วยรุนแรง

อย่าไว้วางใจหากคุณ
ได้รับเชื้อไวรัส

แม้โควิด-19 จะไม่ใช่โรคระบาดที่จัดอยู่ในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลกอีกต่อไป โควิด-19 ยังคงเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง1 การติดเชื้อไวรัสและมีอาการที่ไม่รุนแรง สามารถพัฒนาไปเป็นอาการที่รุนแรงได้หากคุณมีปัจจัยเสี่ยง

hierarchy-arrow hierarchy-arrow-mb
ระดับไม่รุนแรง

ระดับไม่รุนแรง

แม้ว่าจะมีแค่อาการไอหรือจาม แต่หากผลตรวจไวรัสออกมาเป็นบวก ไวรัสก็สามารถเพิ่มจำนวนได้อย่างรวดเร็วภายในร่างกายของเราได้2

ระดับปานกลาง

ระดับปานกลาง

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เชื้อไวรัสสามารถแบ่งตัวเพิ่มจำนวน อาการเพียงเล็กน้อยอาจกลายเป็นอาการที่รุนแรงได้2

ระดับรุนแรง

ระดับรุนแรง

หากปริมาณไวรัสยังคงเพิ่มมากขึ้น อาการอาจจะแย่ลงและนำไปสู่การเจ็บป่วยขั้นรุนแรงจนถึงขึ้นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล2,3

เราสามารถหยุดการเพิ่มจำนวนของไวรัสได้ด้วยการเข้ารับการรักษาด้วยยา4
โดยสามารถสอบถามกับโรงพยาบาลว่าคุณมีสิทธิ์รับการรักษาโควิด-19 หรือไม่

References:

  1. สธ.เผย WHO ยุติ “โควิด19” จากภาวะฉุกเฉินสาธารณสุขโลก แต่ยังเป็นโรคประจำถิ่น พร้อมเฝ้าระวังต่อเนื่อง Available at: https://www.hfocus.org/content/2023/05/27609 Last Accessed: 15 September 2023
  2. Bestetti RB, Furlan-Daniel R, Silva VMR. Pharmacological treatment of patients with mild to moderate COVID-19: A comprehensive review. Int J Environ Res Public Health. 2021. doi:10.3390/ijerph18137212
  3. Bar-On YM, Flamholz A, Phillips R, Milo R. SARS-CoV-2 (COVID-19) by the numbers. eLife. 2020. doi:10.7554/eLife.57309
  4. Murakami N, Hayden R, Hills T, et al. Therapeutic advances in COVID-19. Nat Rev Nephrol. 2023. doi:10.1038/s41581-022-00642-4

แนวทางการรักษา
ผู้ป่วยโควิด-192

แม้โควิด-19 จะไม่ใช่โรคระบาดที่จัดอยู่ในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลกอีกต่อไป โควิด-19 ยังคงเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง1 การติดเชื้อไวรัสและมีอาการที่ไม่รุนแรง สามารถพัฒนาไปเป็นอาการที่รุนแรงได้หากคุณมีปัจจัยเสี่ยง

กลุ่มที่ 1: ไม่มีอาการ

กลุ่มที่ 1: ไม่มีอาการ กลุ่มที่ 1: ไม่มีอาการ

ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรือสบายดี

รักษาแบบผู้ป่วยนอก และปฎิบิติตามมาตรการ DMH หรือ Distancing (อยู่ห่างไว้) Mask wearing (ใส่มาส์กกัน) และ Hand washing (หมั่นล้างมือ) อย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 5 วันโดยไม่ต้องได้รับยาต้านไวรัส

กลุ่มที่ 3: อาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง

กลุ่มที่ 3: มีอาการเล็กน้อย + มีปัจจัยเสี่ยง

ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบ (pneumonia) เล็กน้อยถึงปานกลางที่ยังไม่ต้องให้ Oxygen

ควรได้รับยาต้านไวรัสอย่างเร็วที่สุดเรียงตามลำดับประสิทธิภาพ อาจรักษาเป็นผู้ป่วยนอกหรือรับไว้ในโรงพยาบาล ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

กลุ่มที่ 2: มีอาการไม่รุนแรง

กลุ่มที่ 2: มีอาการเล็กน้อย

ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง

รักษาแบบผู้ป่วยนอก และปฎิบิติตามมาตรการ DMH หรือ Distancing (อยู่ห่างไว้) Mask wearing (ใส่มาส์กกัน) และ Hand washing (หมั่นล้างมือ) อย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 5 วัน และดูแลรักษาตามอาการ ตามดุลยพินิจของแพทย์

กลุ่มที่ 3: อาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยง

ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงแต่มีปอดอักเสบ (pneumonia) เล็กน้อยถึงปานกลางที่ยังไม่ต้องให้ Oxygen

ควรได้รับยาต้านไวรัสอย่างเร็วที่สุดเรียงตามลำดับประสิทธิภาพ อาจรักษาเป็นผู้ป่วยนอกหรือรับไว้ในโรงพยาบาล ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์

กลุ่มที่ 2: มีอาการไม่รุนแรง

กลุ่มที่ 2: มีอาการเล็กน้อย

ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง

รักษาแบบผู้ป่วยนอก และปฎิบิติตามมาตรการ DMH หรือ Distancing (อยู่ห่างไว้) Mask wearing (ใส่มาส์กกัน) และ Hand washing (หมั่นล้างมือ) อย่างเคร่งครัด อย่างน้อย 5 วัน และดูแลรักษาตามอาการ ตามดุลยพินิจของแพทย์

กลุ่มที่ 4: มีปอดอักเสบ

กลุ่มที่ 4: มีปอดอักเสบกลุ่มที่ 4: มีปอดอักเสบ

ผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีปอดอักเสบร่วมด้วย (ระดับออกซิเจน < 94%)

รับไว้ในโรงพยาบาล ร่วมกับให้ยาต้านไวรัสและดูแลตามอาการ

จุดรับบริการ
เสริมภูมิและรักษา

เพื่อภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพร้อมสู้กับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเพื่อการรักษาที่รวดเร็วทันท่วงที หากคุณต้องการทราบว่าจุดบริการสำหรับการเสริมภูมิคุ้มและการรักษามีอยู่ที่ไหนบ้าง

ค้นหาโรงพยาบาลใกล้ตัว

References:

  1. สธ.เผย WHO ยุติ “โควิด19” จากภาวะฉุกเฉินสาธารณสุขโลก แต่ยังเป็นโรคประจำถิ่น พร้อมเฝ้าระวังต่อเนื่อง Available at: https://www.hfocus.org/content/2023/05/27609 Last Accessed: 15 September 2023
  2. แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 27 วันที่ 18 เมษายน 2566. Available at: https://covid19.dms.go.th/backend///Content//Content_File/Covid_Health/Attach/25660418150721PM_CPG_COVID-19_v.27_n_18042023.pdf Last Accessed: 17 Aug 2023

คำแนะนำในการปฏิบัติตน 
สำหรับผู้ป่วยโควิด-19

1. งดออกจากบ้าน รักษาระยะห่าง

ในระยะ 5 วันนับจากเริ่มมีอาการ ควรงดออกจากบ้านไปยังชุมชน หากจำเป็นให้สวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด จนกว่าจะพ้นระยะแพร่เชื้อ

2. แยกห้องนอนจากผู้อื่น

ให้แยกห้องนอนจากผู้อื่น ถ้าไม่มีห้องให้นอนห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2-3 เมตร และเปิดให้อากาศระบายได้ ผู้ติดเชื้อนอนอยู่ด้านใต้ลม จนพ้นระยะการแยกกักตัว

3. แยกห้องน้ำหรือทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

ถ้าแยกห้องน้ำได้ควรแยก ถ้าแยกไม่ได้ ให้เช็ดพื้นผิวที่มีการสัมผัสด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่นแอลกอฮอล์หลังการใช้ทุกครั้ง

4. หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุ

หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุรวมถึง ผู้ที่มีโรคประจำตัวซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็น COVID-19 รุนแรง

5. ล้างมือด้วยสบู่และน้ำเป็นประจำ

ล้างมือด้วยสบู่และน้ำเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังจากถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระ หรือถูมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ 70%

6. ไม่รับประทานอาหารร่วมวงกับผู้อื่น

ไม่รับประทานอาหารร่วมวงกับผู้อื่น

คำแนะนำในการปฏิบัติตน สำหรับผู้ป่วยโควิด-19

เมื่อพ้นระยะ 5 วันแรกแล้ว สามารถออกไปในชุมชนได้มากขึ้นและแนะนำให้ปฏิบัติตามข้อ 2 - 6 ต่อไปอีก 5 วันรวม 10 วัน หลังจากนั้นสามารถประกอบกิจกรรมทางสังคม และทำงานได้ตามปกติตามแนวทางวิถีชีวิตใหม่ หากมีอาการป่วยเกิดขึ้นใหม่ หรืออาการเดิมมากขึ้นให้ติดต่อสถานพยาบาล หากต้องเดินทางมาสถานพยาบาล แนะนำให้สวมหน้ากากระหว่างเดินทางตลอดเวลา

References:

  1. แนวทางการรักษา COVID-19 Available at: https://covid19.dms.go.th/ Last Accessed: 27 July 2023

“วางแผนรับมือโควิด-19” 
เตรียมพร้อมไว้อุ่นใจกว่า

การประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงหากติดเชื้อไวรัส (COVID-19)
สามารถช่วยวางแผนการรักษาร่วมกันกับแพทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ1

ขั้นตอนที่ 1: รู้ว่าเสี่ยง

ขั้นตอนที่ 1: รู้ว่าเสี่ยง

หากพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงเพียง 1 ข้อ นั่นหมายความว่าอาจมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยโควิด-19 ขั้นรุนแรง2,3

ประเมินความเสี่ยง

ขั้นตอนที่ 2: รีบตรวจเมื่อมีอาการ

ขั้นตอนที่ 2: รีบตรวจเมื่อมีอาการ

รีบตรวจหาเชื้อทันทีที่รู้สึกมีอาการ หรือภายใน 5 วัน นับจากวันที่ทราบว่ามีโอกาสสัมผัสเชื้อไวรัส โดยสามารถเข้ารับการตรวจที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือซื้อชุดทดสอบ ATK จากร้านขายยาเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสด้วยตนเองที่บ้าน4

ค้นหาสถานพยาบาลใกล้คุณ

ขั้นตอนที่ 3: จดไว้อุ่นใจกว่า

ขั้นตอนที่ 3: จดไว้อุ่นใจกว่า

หากพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรงหากติดเชื้อไวรัส พร้อมกับมีผลตรวจเป็นบวก และมีสิทธิ์ได้รับการรักษาด้วยยา ต้องเตรียมข้อมูลโรคประจำตัวและยาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อนำไปปรึกษาแพทย์สำหรับเลือกการรักษาอย่างเหมาะสม

โดยจดไว้ตามหัวข้อดังนี้

  1. สิทธิ์การรักษาของคุณเป็นแบบใด และวางแผนจะเข้ารับการรักษาที่ใด?
  2. ปัจจุบันมีโรคประจำตัว หรือภาวะตั้งครรภ์/ให้นมบุตร หรือไม่
  3. ปัจจุบันกำลังใช้ยา สมุนไพร และอาหารเสริมชนิดใดอยู่บ้าง
  4. มีคำถามอะไรที่สงสัยหรือต้องการถามกับแพทย์

ดาวน์โหลดแผนเตรียมรับมือ

References:

  1. COVID-19 treatments and medications. Centers for Disease Control and Prevention. Updated October 19, 2022. Accessed October 31, 2022. https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/your-health/treatments-for-severe-illness.html
  2. Guan W-J, Liang W-H, Shi Y, et al. Chronic respiratory diseases and the outcomes of COVID-19: A nationwide retrospective cohort study of 39,420 cases. J Allergy Clin Immunol Pract. 2021;9(7):2645-2655.e14.
  3. People with certain medical conditions. Centers for Disease Control and Prevention. Updated October 19, 2022. Accessed October 31, 2022. https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/need-extra-precautions/people-with-medical-conditions.html
  4. COVID-19 testing: What you need to know. Centers for Disease Control and Prevention. Updated September 28, 2022. Accessed October 31, 2022. https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/symptoms-testing/testing.html

เสี่ยงแล้วไปไหน?

หากคุณอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรครุนแรงหากติดเชื้อไวรัส
ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับยาต้านเชื้อไวรัสภายใน 5 วัน1

จุดรับบริการ
เสริมภูมิและรักษา

เพื่อภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพร้อมสู้กับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และเพื่อการรักษาที่รวดเร็วทันท่วงที หากคุณต้องการทราบว่าจุดบริการสำหรับการเสริมภูมิคุ้มและการรักษามีอยู่ที่ไหนบ้าง

ค้นหาโรงพยาบาลใกล้ตัว

References:

  1. แนวทางเวชปฏิบัติ การวินิจฉัย ดูแลรักษา และป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุข ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 27 วันที่ 18 เมษายน 2566. Available at: https://covid19.dms.go.th/backend///Content//Content_File/Covid_Health/Attach/25660418150721PM_CPG_COVID-19_v.27_n_18042023.pdf Last Accessed: 17 Aug 2023
PP-C1D-THA-0014, PP-C1D-THA-0043